Hello world
ใครที่เคยเขียนเวป คงจะรู้จักคำนี้เป็นอย่างดี "Hello World" จะเป็นคำแรกที่หนังสือเกือบทุกเล่ม ทุกภาษาเขียนเสมอ ในฐานะที่บทความนี้ เป็นบทความแรกของ Blog ก็ขอจั่วหัวด้วยคำนี้แล้วกัน
ก่อนอื่น เรามาสัมภาษณ์ผู้เขียนกันก่อนดีกว่า ว่ามีความเป็นมาอะไรอย่างไร
Feel-in-the: Blog นี้ชื่ออะไร และอ่านว่าอย่างไรครับ
ผู้เขียน: Feel in the ___ อ่านว่า ฟิล อิน เดอะ หรือจะอ่านเต็มๆว่า ฟิล อิน เดอะ แบลงค์ ก็ได้ครับ (ของแท้ต้องขีดเส้นใต้ (_) 3 ครั้ง)
Feel-in-the: มีที่มาอย่างไร
ผู้เขียน: จริงๆมีไอเดียอยู่ในหัวมาตั้งแต่ 2012 อยากทำหนังสือ free magazine ก็เลยตั้งทีมกับเพื่อน ในช่วงนั้น เริ่มเป็นรูปเป็นร่างตอน 2013 แต่ด้วยความที่กระแสสิ่งพิมพ์มันลดลงอย่างน่าใจหายประกอบกับทุกคนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว จึงไม่สามารถปลีกเวลามาเขียนได้ โครงการก็เลยโดนพับไว้ก่อน แต่มันก็เป็นสิ่งเล็กๆในใจว่า เฮ้ย อยากทำ จนมันสะสมไอเดีย สะสมประสบการณ์มา 5 ปี เลยตัดสินใจว่า "เออ ไม่ต้องรอแล้ว จะลบคำว่า "เดี๋ยว" ออกจากชีวิต" ก็เลยหา platform ที่ยังไม่ต้องลงทุนมาก ลงแรงเยอะหน่อยไม่เป็นไร สุดท้ายก็เลยได้เป็น blog นี้ขึ้นมา https://feel-in-the.blogspot.com
Feel-in-the: Blog นี้เกี่ยวกับอะไรครับ
ผู้เขียน: Blog นี้จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่คุณไม่รู้ อะไรที่อยู่ในช่องว่าง มีความว่างเปล่า ก็จะเสริมไปตรงนั้น บางทีเป็นไอเดีย บางครั้งเป็นความรู้หนักๆ บางเรื่องไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ถ้ารู้มันก็ดี มันก็เท่ พูดถึงความเท่กับเรื่องที่ไม่รู้ก็ได้ มีอยู่เรื่องนึงที่ติดใจผมมานาน ตอนสมัยเรียน จะมีอยู่ชั่วโมงนึงที่รร.จะฝึกร้องเพลงคริสมาส ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ไอ้เราก็คิด จะร้องทำไม ในเมื่อเราเป็นพุทธ ทำไมต้องร้องเป็น แต่อาจารย์ที่สอนก็บอก "ลองคิดดูสิ ถ้าวันนึงเราเดินกับแฟนกำลังจูงมือกันในห้าง ในช่วงวันคริสมาส แล้วห้างเปิดเพลงคริสมาสขึ้นมา เราสามารถร้องตามได้ มันเท่มากเลยนะ" "มันเท่ตรงไหน(วะ)" ผมยังต่อต้านอยู่ในใจ แต่พอเวลาผ่านไป 20 ปี (จริงๆยังไม่แก่นะ แต่ว่าตอนนั้นเด็กจริงๆ) เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆที่ Central World เดินจูงมืออยู่กับแฟน แล้วเพลงคริสมาสดังขึ้นจริงๆ แล้วก็ฮัมเองเบาๆในใจ ... "เฮ้ย ร้องได้หว่ะ กูเท่หว่ะ" ... รู้สึกภูมิใจกับตัวเองขึ้นมาคนเดียวลึกๆ จากเรื่องนี้เลยคิดได้ว่า บางเรื่องไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ถ้ารู้มันเท่ มันรู้สึกดีกับตัวเอง ซึ่งเมื่อคนเรารู้สึกดีกับตัวเอง จะกลายเป็นคนคิดในแง่บวกกับทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่อยากบอกเล่าประสบการณ์ และแชร์ให้คนอื่นๆรู้บ้าง หรือไม่รู็ก็ได้
Feel-in-the: ยาวจัง สรุปสั้นๆหน่อย เกินโควต้า 7 บรรทัดต่อปีแล้ว
ผู้เขียน: Main idea คือ เติมเต็มสิ่งที่ไม่รู้ ให้รู้ โดยที่สิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ถ้ารู้ก็ดี
Feel-in-the: ok สั้นๆ ได้ใจความ
ผู้เขียน: จริงๆแล้วชื่อที่ได้มานี่คือมาจากคำถามวิชาภาษาอังกฤษที่ทุกคนต้องเคยเรียน และเคยเจอ
please fill in the blank.
I am a _____.
I am a _____.
a) boy
b) girl
c) house
d) cat
แบบนี้เป็นต้น ถ้าง่ายหน่อยมันก็มีตัวเลือกให้ ถ้ายากหน่อยก็ไม่มีอะไรให้เลย ใช้ความรู้เท่าที่มีใส่ลงไป จากการใส่ความรู้ลงไปในช่องว่าง เลยกลายเป็น Feel in the ___ ใส่ความรู้สึก ลงไปในช่องว่างแทน
(Feel-in-the:ยังไม่ยอมจบ)
Feel-in-the: ใครที่ควรจะต้องอ่าน Blog นี้
ผู้เขียน: จริงๆแล้วใครก็ได้ เดิมทีสมัยเป็นโครงการทำหนังสือ เราเคยคิดว่าจะ focus แค่วัยรุ่น วัยทำงานที่มานั่งกินร้านกาแฟ แล้วหยิบ Magazine ขึ้นมาอ่านตอนนั่งกินกาแฟ ฝันหวานมากเลย แต่พอโครงการพับไป เลยมานั่งคิด ด้วยความที่เป็น Platform ที่สามารถเข้าถึงง่าย เลยเอาหมดเลย กวาดหมด ใครเปิดมาแล้วอ่านแค่ Hello world ถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมาย เป็นลูกค้าแล้ว (ฮาาา) คือกลุ่มที่หวังจริงๆไม่ได้หวังว่าต้องเป็นวัยรุ่น อายุ 20 - 30 อะไรอย่างนั้นนะ หวังคนที่มีลักษณะนิสัยอยากรู้ แล้วถ้าเกิดคำถามว่าทำไมในหัวแล้ว ต้องหาให้ได้ ว่าทำไม เป็นเพราะอะไร คนพวกนี้จะเป็นคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็น ซึ่งตรงกับตัวเราไง แล้วเค้าก็จะหาความรู้ไปเรื่อย แล้วถ้ามาอ่าน blog นี้ทุกวัน ก็จะได้อะไรใหม่ๆไปทุกวัน
Feel-in-the: แปลว่าจะมีเนื้อหาใหม่ๆเขียนมาทุกวัน
ผู้เขียน: พยายามให้เป็นอย่างนั้น ที่ต้องประกาศกร้าวไว้ เพื่อที่จะได้กดดันตัวเองอีกทางนึง
Feel-in-the: ติดตาม BNK48 เป็นโอตะ ไปนั่งเฝ้าตู้ปลากับเค้าด้วยป่ะ
ผู้เขียน: โคอี๊ซูรุ ฟอร์จูนคุ๊กกี๊ มาลุ้นดูสิ .... Hey Hey Hey (หมุนตัว) เดี๋ยวๆ มันเกี่ยวกับ blog ยังไงเนี่ย
Feel-in-the: อ่าวก็เห็นว่า เป็น Blog ที่มีเนื้อหารู้ไม่รู้ก็ได้ เราก็จะได้รู้อีกเรื่องในเรื่องที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ ว่าเจ้าของเป็นโอตะไหม เอาใหม่ คำถามใหม่ สุดท้าย และท้ายสุด ข้อ 10 พอดี อยากจะฝากอะไรถึงแฟนานุแฟนบ้างไหม
ผู้เขียน: (ทำหน้าหล่อ เก๊กเสียง และขึ้นต้นว่าก็ ตามแบบฉบับของนักร้องที่ออกอัลบัมชุดที่สอง) ก็ใน Blog นี้ ก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และได้มีส่วนร่วมในการทำงานเบื้องหลัง ซึ่งเมื่อพลิกดู ก็จะเห็นเพลงที่สองในหน้าบี ที่ผมได้เขียนคำร้องขึ้น ก็อยากจะให้ทุกคนได้ลองซื้อไปฟังดูครับ แล้วเราจะได้รู้จักกันมากขึ้นครับ ....Feel-in-the: เอาดีดี ไม่เล่น
ผู้เขียน: ถ้าคุณสามารถอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็แสดงว่า คุณก็คงชอบสไตลย์การเขียนของผมแล้วล่ะ เรามาผูกปิ่นโต ตามมาอ่านกันทุกวันกันดีกว่านะ ขอบคุณครับ
Feel-in-the: ขอแถมอีกคำถาม ทำไมต้องเพลงที่สองในหน้าบีด้วย
ผู้เขียน: ถ้าเข้าใจไม่ผิดคือจะเป็นเพลงที่ไม่ใช่เพลงโปรโมตหลัก และเป็นเพลงที่ถ้าจะฟังจริงๆ ต้องไล่ฟังไป 5-6 เพลงก่อนหน้าตั้งแต่หน้าเอ หรือถ้าอยากฟังเร็วๆต้องกรอเทป(หรือใช้ปากกาควง)ไปหลายเพลง ใช้ความพยายามในการฟัง จะทำให้คนฟังมีความรู้สึกผู้พันกับศิลปินมากขึ้น เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถหาได้แล้วในปัจจุบัน
สุดท้ายจริงๆ ขอขอบคุณ Kirin Ichiban กระป๋องนี้ ที่ทำให้ไอเดียพุ่งกระฉุด บวกกับได้ใช้ "ความรู้สึก" ทำให้ได้ "เริ่ม" ที่จะ "ทำ" ในสิ่งที่ "รัก" อีกอย่างนึง "ซักที"
![]() |
Kirin Ichiban |
Comments
Post a Comment